POL2100 : การเมืองการปกครองในประเทศอังกฤษ
โดย อ.ดร.กฤติธี ศรีเกตุ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
ข้อสอบอยู่ในคำบรรยายนี้ทั้งหมด โปรดอ่านและทำความเข้าใจให้ดี
-------------------------
กฎหมายรัฐธรรมนูญอังกฤษ : รัฐธรรมนูญที่มีชีวิต
- รัฐธรรมนูญไม่เป็นลายลักษณ์อักษร (Unwritten Constitution) ประกอบด้วย หลักการปกครองต่างๆ ที่ไม่ได้อยู่รวมเป็นรัฐธรรมนูญเฉพาะ แต่กระจายตามกฎหมายและคำพิพากษาต่างๆ รวมถึงธรรมเนียมปฏิบัติสืบทอดกันมา
- มีความยืดหยุ่น สามารถมีการเปลี่ยนแปลงได้เสมอ เสมือนเป็นสิ่งมีชีวิต
- เป็นผลวิวัฒนาการยาวนานของระบอบประชาธิปไตยในประเทศอังกฤษที่สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในดุลอำนาจของกลุ่มและชนชั้นต่างๆ ค่อยๆ ลดพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ลงที่ละเล็กละน้อย
- ศตวรรษที่ 19 มีรัฐธรรมนูญที่เป็นตัวแทนของชนชั้นกลางมากขึ้น เรื่อยมาจนเป็นรัฐธรรมนูญแบบประชาธิปไตยในศตวรรษที่ 20
ประวัติของกฎหมายรัฐธรรมนูญอังกฤษ
บทบัญญัติแมคนาคาร์ตา (Magna Carta 1215) มีหลักการดังนี้
- พระเจ้าแผ่นดินจะเรียกเก็บภาษี หรือขอให้ราษฎรให้ความช่วยเหลือไม่ได้ นอกจากจะได้รับความยินยอมจากที่ประชุมหัวหน้าราษฎร
- การงดใช้กฎหมาย หรือการยกเว้นไม่ใช้กฎหมายบังคับแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่งจะกระทำไม่ได้
- บุคคลใดๆ จะถูกจับกุมคุมขัง หน่วงเหนี่ยว หรือขับไล่เนรเทศไม่ได้ นอกจากการนั้นเป็นไปโดยคำพิพากษาที่ชอบ และตามกฎหมายของบ้านเมือง
เป็นรากเหง้าของประชาธิปไตยและรากฐานรัฐธรรมนูญของอังกฤษ
- คำขอสิทธิ (Petition of Right 1628) วางพื้นฐานให้ประชาชนสามารถประท้วงพระมหากษัตริย์ ในเรื่องของการเก็บภาษี โดยไม่ได้รับความยินยอมจากรัฐสภา การจับกุมคุมขังตามอำเภอใจ และการกระทำอื่นๆ ที่ส่งผลกระทบถึงเสรีภาพของประชาชน ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงจำยอมต่อข้อเรียกร้องเหล่านี้ทุกข้อ
- พระราชบัญญัติว่าด้วยสิทธิ (Bill of Rights 1689) เป็นการยุติพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ที่ละเว้น และเพิกเฉยต่อการออกกฎหมายโดยไม่ได้รับความยินยอมจากรัฐสภา ถือเป็นชัยชนะครั้งสำคัญของสภาสามัญ ในการต่อสู้ กับพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์มาเป็นเวลายาวนาน
- กฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ (The Act of Settlement 1701) วางหลักความเป็นอิสระในการพิพากษาคดีของศาล และวางเงื่อนไขหลักการปกครองแบบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ
ที่มาของกฎหมายรัฐธรรมนูญอังกฤษ
- กฎหมายที่บัญญัติขึ้น (Statute Law) พระราชบัญญัติที่บัญญัติผ่านโดยรัฐสภา
- กฎหมายจารีต (Common Law) กฎ ระเบียบ และจารีตประเพณี ที่มีมาแต่โบราณ ศาลได้ตีความวินิจฉัยแล้วให้ความเห็นชอบด้วย จึงถือเป็นกฎหมายที่มีมาก่อน (Precedent)
- ธรรมเนียมปฏิบัติ (Conventions Law) กรอบการประพฤติปฏิบัติเชิงรัฐธรรมนูญที่มีมาเป็นระยะเวลานาน แต่ไม่ถือเป็นกฎหมาย ไม่สามารถฟ้องร้องต่อศาลได้
- ข้อเขียนที่เชื่อถือได้ (Work of Authority) ผลงานการตีความกฎหมาย โดยอาศัย หนังสือ และข้อเขียนที่ได้รับการยอมรับว่า เป็นแนวทางในการตีความของรัฐธรรมนูญ
หลักการสำคัญของกฎหมายรัฐธรรมนูญอังกฤษ
- ความเป็นเอกรัฐ/รัฐเดี่ยว (Unitary State)
- อำนาจอธิปไตยของรัฐสภา (Parliamentary Sovereignty)
- หลักนิติธรรม (Rule of Law)
- ประชาธิปไตยแบบรัฐสภาภายใต้พระมหากษัตริย์เป็นประมุข (Parliamentary Government Under a Constitutional Monarchy)
ลักษณะสำคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์ของอังกฤษ
- ระบบกษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ และสืบทอดโดยการสืบสันตติวงศ์ แต่ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา
- พระมหากษัตริย์ คือ ประมุขของประเทศ เป็นสัญลักษณ์ของประเทศและรัฐธรรมนูญ มีบทบาททางพิธีการ
- พระมหากษัตริย์ทรงเป็นกลางทางการเมืองไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด
- พระมหากษัตริย์ต้องนับถือศาสนาคริสต์นิกายอังกฤษ (Church of England)
- พระมหากษัตริย์กษัตริย์จะเป็นหญิงหรือชายก็ได้
- พระมหากษัตริย์ทรงบรรลุนิติภาวะเมื่อมีพระชนมายุได้ 18 พรรษา
- อำนาจดั้งเดิมของพระมหากษัตริย์เป็นไปตามธรรมเนียมปฏิบัติ การบริหารอำนาจในปัจจุบันโดยผ่านการถวายคำแนะนำจากผู้นำฝ่ายบริหาร คือ นายกรัฐมนตรี
- พระมหากษัตริย์ทรงทำผิดไม่ได้ (The King Can Do No Wrong) รัฐบาลในฐานะผู้รับสนองพระบรมราชโองการต้องรับผิดชอบทางการเมืองต่อพระมหากษัตริย์
ระบบการเมืองอังกฤษ
- หลักการที่สำคัญที่สุดของระบบการเมืองอังกฤษ คือ “อำนาจอธิปไตยของรัฐสภา”
- รัฐสภามีสิทธิที่จะออกกฎหมาย หรือยกเลิกกฎหมายใดๆ ก็ได้ ไม่มีผู้ใดในอังกฤษที่จะมีสิทธิเพิกเฉย หรือละเมิดต่อกฎหมายรัฐสภา
- รัฐสภาภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งอังกฤษมีสิทธิในการที่จะบัญญัติ หรือไม่บัญญัติกฎหมายใดๆ และไม่มีบุคคลใดจะได้รับการยอมรับโดยกฎหมายอังกฤษที่จะมีสิทธิล้มล้างกฎหมายที่บัญญัติโดยรัฐสภา
ฝ่ายนิติบัญญัติ
- รัฐสภาสหราชอาณาจักรมีอำนาจ หลักในการบัญญัติกฎหมายขึ้น เพื่อบังคับแก่กิจการทั้งปวง รวมทั้งบัญญัติกฎหมายเกี่ยวกับการปกครองให้มีผลเป็นรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรด้วย และมีหน้าที่สรุปได้ดังนี้
พิจารณาออกกฎหมาย และพระราชบัญญัติต่างๆ
พิจารณาข้อเสนอเกี่ยวกับนโยบายด้านภาษีและการคลังของรัฐบาล
พิจารณานโยบายและกำกับดูแลการบริหารของรัฐบาล
- ส่วนประกอบของรัฐสภาอังกฤษแบ่งออกเป็นสภาสามัญ (the House of Commons) และสภาขุนนาง (the House of Lords) ในทางทฤษฎีจะรวมเอาพระมหากษัตริย์เข้าไว้เป็นส่วนหนึ่งของรัฐสภาด้วย
พระมหากษัตริย์
- เป็นประมุขและสัญลักษณ์ของประเทศ (ปัจจุบันประมุข คือ สมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 (Charles III) )
- ใช้อำนาจนิติบัญญัติ ด้วยการลงพระปรมาภิไธยในกฎหมายต่างๆ และแม้จะไม่มีอำนาจใดๆ ทางการเมือง แต่ก็ทรงใช้อำนาจการบริหารผ่านคณะรัฐมนตรีได้
- ทรงมีอำนาจในการเรียกประชุมหรือยุบสภา ตลอดจนให้ความเห็นชอบต่อร่างพระราชบัญญัติ มีอำนาจในการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี
- พระมหากษัตริย์มีสิทธิที่จะได้รับทราบถึงนโยบายต่างๆ ของรัฐบาล ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีจะต้องเข้าเฝ้าถวายรายงานทุกสัปดาห์
- บทบาทที่สำคัญทางการเมืองของพระมหากษัตริย์ ได้แก่ การกล่าวพระราชดำรัสต่อที่ประชุมรัฐสภาในการเปิดสมัยประชุมรัฐสภา ในเดือนพฤศจิกายนของทุกปี ซึ่งถือว่าพระราชดำรัสดังกล่าว เป็นการแถลงนโยบายของรัฐบาล
สภาขุนนาง
- สมาชิกประมาณ 1,000 คน (จำนวนอาจเปลี่ยนแปลงได้)
- ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง และประชาชนไม่มีอำนาจที่จะถอดถอนหรือควบคุม
- แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่ ขุนนางฝ่ายศาสนา (Lords Spiritual) ผู้นำทางศาสนจักรที่ดำรงตำแหน่งที่สำคัญๆ ของนิกายต่างๆ หรือ บุคคลระดับสูงทางฝ่ายศาสนาของ Church of England ในระดับ Archbishops และขุนนางฝ่ายฆราวาส (Lords Temporal) มาจาการสืบเชื้อสายทางราชวงศ์ และการสืบตระกูล
- ในอดีตมีอำนาจมาก แต่เมื่อมีการออก Parliament Act 1911 และ 1949 ทำให้เป็นการลดอำนาจสภาขุนนางอย่างเป็นทางการ
- ปัจจุบัน อำนาจสภาขุนนางลดน้อยลงมาก
หน้าที่ของสภาขุนนาง
- อำนวยความสะดวกในการพิจารณาร่างกฎหมายที่ไม่เร่งด่วน และไม่เป็นปัญหาขัดแย้งกันมากในรัฐสภา ร่างกฎหมายประเภทนี้จะเสนอต่อสภาขุนนางก่อน
- ทบทวนร่างพระราชบัญญัติที่ผ่านการพิจารณาจากสภาสามัญ และสามารถยับยั้งร่างกฎหมายไว้ชั่วเวลาหนึ่งเท่านั้น
- ในกรณีที่คดีมีความสำคัญสำหรับสาธารณชน สภาขุนนาง ก็จะเป็นผู้พิจารณาฎีกาในขั้นสุดท้าย ดังนั้นสภาขุนนาง จึงมีหน้าที่สำคัญ คือ เป็นศาลสูงสุดของประเทศ
สภาสามัญ
- ฝ่ายนิติบัญญัติที่มีบทบาทในการปกครองประเทศอย่างแท้จริง
- สมาชิกจำนวน 659 คน (แล้วแต่จำนวนประชากร) แบ่งเป็น (1) 529 ที่นั่งจากอังกฤษ (2) 72 ที่นั่งจากสกอตแลนด์ (3) 40 ที่นั่ง จากเวลส์ (4) 18 ที่นั่ง จากไอร์แลนด์เหนือ
- มาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขต เขตละหนึ่งคน (Single Constituency) โดยผู้ที่ได้รับคะแนนสูงสุดในแต่ละเขตเลือกตั้งจะเป็นผู้ชนะ วาระของสภาสามัญมีวาระละ 5 ปี
หน้าที่ของสภาสามัญ
- หน้าที่ในการตรวจสอบทางนิติบัญญัติ ตรวจสอบพิจารณาร่างกฎหมายของรัฐบาลซึ่งขั้นตอนพิจารณากฎหมายของสภาสามัญ แบ่งออกเป็น
- วาระแรก นำเสนอร่างพระราชบัญญัติอย่างเป็นทางการต่อที่ประชุมสภา โดยไม่มีการอภิปราย
- วาระที่ 2 อภิปรายหลักการของร่างพระราชบัญญัติโดยรัฐมนตรี สมาชิกสภาสามัญ คณะกรรมาธิการ และรายงานต่อที่ประชุมสภาเพื่อพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติม หากไม่มีการแก้ไขจึงเข้าสู่วาระที่ 3
- วาระที่ 3 เพื่อให้ทั้งสภาพิจารณาผ่านร่างพระราชบัญญัติโดยการลงมติ เมื่อผ่านขั้นตอนของสภาสามัญครบแล้วจึงเสนอร่างฯไปยังสภาขุนนางหากสภาขุนนางมีข้อแก้ไขก็จะกลับสู่สภาสามัญในขั้นตอนของการอภิปรายข้อแก้ไขของสภาขุนนาง เมื่อผ่านร่างพระราชบัญญัติทั้งสองสภาแล้ว จึงถวายเพื่อลงพระปรมาภิไธย เป็นพระราชบัญญัติ
หน้าที่ในการตรวจสอบฝ่ายบริหาร
- อภิปราย
- การตั้งกระทู้ถาม
- การตั้งคณะกรรมาธิการเฉพาะเรื่อง เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ และตรวจสอบการทำงานของกระทรวงต่างๆ แบ่งเป็น
1. คณะกรรมาธิการเต็มสภา
2. คณะกรรมาธิการสามัญ
3. คณะกรรมการวิสามัญ
4. คณะกรรมาธิการร่วมกันสองสภา
- หน้าที่ในการควบคุมทางการคลัง เป็นวิธีการที่สภาสามัญใช้ควบคุมการบริหารงานของรัฐบาล โดยการอนุมัติงบประมาณ ให้ความเห็นชอบการใช้จ่ายงบประมาณ และคอยตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐบาล
ฝ่ายบริหาร
- ทำหน้าที่หลักรับผิดชอบในการบริหารงานของประเทศ โดยมีนายกรัฐมนตรีซึ่งได้รับแต่งตั้งจากพระมหากษัตริย์ เป็นหัวหน้ารัฐบาล และรัฐมนตรีอื่นๆ ทั้งหมด ก็ได้รับการแต่งตั้งจากพระมหากษัตริย์โดยการเสนอของนายกรัฐมนตรี
- หน้าที่ของนายกรัฐมนตรี เช่น รายงานกิจการงานฝ่ายบริหารต่อองค์พระประมุข รวมทั้งเป็นประธานของคณะรัฐมนตรีควบคุมงานของทุกกระทรวง
- อำนาจของนายกรัฐมนตรี คือ การให้ความสำคัญกับเรื่องของการป้องกันประเทศ การต่างประเทศ เศรษฐกิจ และความมั่นคงแห่งชาติ โดยที่อำนาจที่สำคัญที่สุดของนายกรัฐมนตรี ก็คือ อำนาจในการยุบสภา ให้มีการเลือกตั้งทั่วไปขึ้นใหม่
- หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 อังกฤษมีนายกรัฐมนตรีมาแล้วทั้งสิ้น 18 คน ปัจจุบัน คือ นายริชี ซูแน็ก จากพรรคอนุรักษ์นิยม และจากประวัติศาสตร์การเลือกตั้งที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีจะสลับหมุนเวียนกันระหว่างพรรคอนุรักษ์นิยมกับพรรคแรงงาน
- คณะรัฐมนตรี มีวิวัฒนาการมาจากคณะองคมนตรีซึ่งเป็นที่ปรึกษาของพระมหากษัตริย์ และในศตวรรษที่ 18 ได้ค่อยๆ เป็นอิสระจากสถาบันกษัตริย์ จนเชื่อมโยงใกล้ชิดกับประชาชนมากขึ้นเรื่อยๆ
- ในปัจจุบัน มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมีหน้าที่รับผิดชอบงานของกระทรวงต่างๆ ประมาณ 22 คน รวมกับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง อีกรวมเป็นคณะรัฐบาลกว่า 100 คน ซึ่งตามกฎหมายไม่มีการกำหนดเรื่องจำนวนรัฐมนตรี โดยจะอยู่ในตำแหน่งเป็นเวลา 5 ปี
- คณะรัฐมนตรีไม่ได้เป็นอิสระจากสภาสามัญ แต่ต้องรับผิดชอบร่วมกันต่อสภาสามัญ และเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันซึ่งเป็นไปตาม “หลักการที่ไม่มีการแบ่งแยกอำนาจเด็ดขาดระหว่างกัน (Fusion of Powers)”
ฝ่ายตุลาการ
- ประกอบด้วยผู้พิพากษาที่มาจากวงการวิชาชีพนักกฎหมาย ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง โดยคำแนะนำของนายกรัฐมนตรีหรือประธานสภาขุนนาง
- มีอำนาจน้อยกว่าของฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายบริหาร เนื่องจากศาลมีหน้าที่อย่างจำกัดในการตีความพระราชบัญญัติที่รัฐสภาเป็นผู้ออก ไม่มีอำนาจบ่งชี้ว่าพระราชบัญญัติฉบับใดมีลักษณะขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ ทั้งนี้ เป็นไปตามหลักการอำนาจอธิปไตยของรัฐสภาที่มีอำนาจสูงสุด
- ฝ่ายตุลาการของอังกฤษมีความยึดโยงกับรัฐสภา เนื่องจากหัวหน้าฝ่ายตุลาการมีหน้าที่แต่งตั้งผู้พิพากษาไม่ทางตรงก็ทางอ้อม และอาจเป็นหัวหน้าคณะผู้พิพากษา เมื่อสภาขุนนางทำหน้าที่ศาลอุทธรณ์ และก็เป็นนักกฎหมายอาวุโสที่เป็นสมาชิกสภาขุนนาง ซึ่งทำหน้าที่ประธานสภาขุนนาง ในขณะเดียวกันก็เป็นรัฐมนตรีอยู่ในคณะรัฐมนตรีด้วยทำหน้าที่หัวหน้าฝ่ายกฎหมายของรัฐบาล
-----------------------
0 ความคิดเห็น